วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2551

เพลงเรือแหลมโพธิ์ จังหวัดสงขลา

เพลงเรือแหลมโพธิ์ จังหวัดสงขลา


เพลงเรือแหลมโพธิ์คืออะไร
จังหวัดสงขลาเป็นจังหวัดหนึ่งที่สืบทอดประเพณีชักพระมาตั้งแต่โบราณ มีทั้งการชักพระทางบก ซึ่งชักลากรถหรือเลื่อนที่ประดิษฐานบุษบกพระไปตามถนนหนทาง กับการชักพระทางน้ำ ซึ่งชักลากเรือบุษบกพระไปตามแม่น้ำลำคลอง บางทีก็ออกสู่ทะเล โดยเฉพาะทะเลสาบสงขลา การชักพระทางน้ำนี้เองเป็นต้นกำเนิดของการเล่นเพลงเรือของภาคใต้ โดยเฉพาะเพลงเรือแหลมโพธิ์ ของจังหวัดสงขลา ที่เล่นสืบทอดประเพณีกันมานานนับร้อยปี เพลงเรือแหลมโพธิ์ คือเพลงเรือที่มีศูนย์กลางการเล่นอยู่ที่บริเวณแหลมโพธิ์ ซึ่งเป็นแหลมเล็กๆ ยื่นลงไปในทะเลสาบสงขลา พื้นที่ประมาณ ๕ ไร่ อยู่ทางตอนเหนือของหมู่ที่ ๓ บ้านแหลมโพธิ์ ตำบลคูเต่า อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นเพลงที่พวกฝีพายเรือยาวร้องเล่นในเรือร่วมกับประเพณีชักพระ เพื่อชักลากเรือบุษบกพระไปสู่จุดหมายในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑
เพลงเรือแหลมโพธิ์เป็นเพลงเรือเช่นเดียวกันกับเพลงเรือที่มีเล่นในภาคกลางของประเทศไทย มีลักษณะเป็นประเพณีราษฎร์ แต่ความน่าสนใจศึกษาเฉพาะกรณีเพลงเรือแหลมโพธิ์อยู่ที่เพลงเรือแหลมโพธิ์เป็นเพลงเรือที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ไม่มีที่ใดเหมือน หากว่าเพลงเรือแหลมโพธิ์เป็นเพียงเพลงที่เล่นกันในเรือ ว่าโต้ตอบกันระหว่างหนุ่มสาวแล้ว เพลงเรือแหลมโพธิ์ก็คงจะแตกต่างจากเพลงเรือภาคกลางดังกล่าวเพียงพื้นที่เล่นและภาษาในเพลงซึ่งเป็นภาษาถิ่นเท่านั้น แต่เพลงเรือแหลมโพธิ์นอกจากเป็นเพลงเล่นในเรือแล้ว ในส่วนอื่นๆ จะไม่เหมือนกับเพลงเรือในภาคกลางเลย
เพลงเรือแหลมโพธิ์ จึงเป็นเพลงอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งแต่เดิมคนทั่วไปมักเข้าใจว่าเพลงเรือนั้นมีเพียงรูปแบบเดียว คือเพลงเรือของภาคกลาง โดยเฉพาะแถบจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี สิงห์บุรี และอ่างทองเท่านั้น

ชื่อเพลงเรือแหลมโพธิ์
เพลงเรือแหลมโพธิ์นี้เรียกชื่อตามสถานที่ที่เป็นจุดนัดหมายที่เรือเพลงชักพระมารวมกัน คือที่แหลมโพธิ์แล้วขึ้นเล่นเพลงเรือต่อกันบนบริเวณแหลมโพธิ์ด้วย
จากการศึกษาเกี่ยวกับชื่อเพลงเรือ แม้พื้นที่ในเขตอำเภอหาดใหญ่เพียงเขตเดียวก็เรียกชื่อต่างๆกันออกไป เช่น ตำบลแม่ทอมจะเรียก “เพลงเรือ” ตำบลคูเต่าเรียก “เพลงยาว” บ้าง “เพลงเรือยาว” บ้าง ตำบลบางกล่ำ บ้านหนองม่วงนั้นเรียกว่า “เพลงยาว” และเรียกเพลงเรือสั้นๆ ขนาด ๒-๓ กลอนจบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพลงของพวกขี้เมาว่า “เพลงเรือบก” พระมหาเจริญ เตชะปัญโญ แห่งที่พักสงฆ์บ้านแหลมโพธิ์กล่าวว่า “มีคำเรียกเพลงเรืออีกคำหนึ่งคือคำว่า เพลงร้องเรือ แต่ในจำนวนทั้งหมด คำว่าเพลงยาวเป็นคำที่เรียกเก่าแก่ที่สุด ในเพลง “ชมนมพระ” ของนายพัน โสภิกุล ได้กล่าวถึงชื่อนี้ไว้กลอนหนึ่งว่า “บ้างร้องเพลงยาวรำเพลงต่างต่าง” คำว่า “เพลงยาวนี้” ได้รับการยืนยันจากผู้สูงอายุในพื้นที่เก็บข้อมูลเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นคำตัดมาจากคำว่า “เพลงเรือยาว” เพราะแต่เดิมเรือที่ใช้ชักพระและเล่นเพลงนั้นเป็นเรือยาวแทบทั้งนั้น ด้วยว่า “เรือยาวเป็นเรือสำหรับผู้ชาย ส่วนเรือสำหรับพวกผู้หญิงนั้นเรียกเรือเพรียว” เรือเหล่านี้มักเป็นของวัด จะมีกันวัดละหลายๆ ลำ อย่างวัดอู่ตะเภา วัดคูเต่ามีมากถึงวัดละ ๗-๘ ลำ เพิ่งมาตอนหลังเมื่อมีการตัดถนนเข้าสู่หมู่บ้านมากขึ้น ความจำเป็นในการใช้เรือน้อยลง เรือเหล่านั้นก็ถูกขายไปเป็นอันมาก แต่เป็นที่น่ายินดีที่มีการจัดสร้างเรือยาวขึ้นใหม่ที่วัดอู่ตะเภา เพื่อใช้ในพิธีชักพระ

กำเนิดเพลงเรือแหลมโพธิ์
เป็นที่น่าเชื่อว่าประเพณีการชักพระทางน้ำเป็นต้นกำเนิดการเล่นเพลงเรือแหลมโพธิ์ การชักพระทางน้ำเกิดขึ้นจากศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่มีพื้นภูมิอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เป็นลุ่มน้ำ ไม่มีเส้นทางบกอื่นใดอันอาจจะอัญเชิญพระพุทธรูปประดิษฐานบนรถหรือเลื่อนชักลากไปได้ จึงได้คิดหาวิธีอัญเชิญพระพุทธรูปประดิษฐานบนเรือชักลากไปแทน ซึ่งก็ทำให้ได้รับศรัทธาผลสมจุดมุ่งหมายเช่นเดียวกัน
เรือพระทางน้ำนั้นก็ได้รับการประดับตกแต่งทั้งตัวเรือและนมพระ (พนมพระหรือมณฑปพระ) เช่นเดียวกับการชักพระทางบก บางทีอาจจะวิจิตรพิสดารกว่าเรือพระทางบกเสียด้วยซ้ำ ทั้งนี้เรือพระ น้ำในสมัยโบราณบางลำใช้เรือยาวผูกขนานต่อติดกันถึง ๓ ลำ เรือพระยิ่งลำใหญ่เท่าใดก็ยิ่งต้องอาศัยแรงชักลากจากฝีพายเรือชักลากมากลำขึ้นเท่านั้น ด้วยแรงศรัทธาและความเชื่อที่ว่า “เมื่อพระหลบหลัง ฝนจะตกหนัก” กับความบันดาลใจในความวิจิตรงดงามด้วยศิลปะพื้นบ้านที่แข่งสีสันตัดกันลานตาของเรือพระ กับสีสันของเสื้อผ้าอาภรณ์และหน้าตาของสตรีเพศทั้งที่ไม่อาจไปร่วมในการชักพระ เพียงแค่มายืนส่งสลอนอยู่บนสองฝั่งคลองกับสตรีเพศที่ร่วมลำไปด้วยในกระบวนชักพระนั้น ทำให้คนพื้นบ้านภาคใต้ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นผู้ที่มีอารมณ์ทางกาพย์กลอนสูงอยู่แล้วได้เกิดปฏิภาณเป็นถ้อยคำร้อยเรียงดังๆ ออกมาคนหนึ่งแล้วคนอื่นๆ ในกลุ่มก็มีอารมณ์ร่วมรับตามต่อๆกัน เมื่อเห็นว่าการร้องรับกันแบบนี้สนุกและทำให้เกิดพลังความฮึกเหิม เป็นสื่อร่วม กำหนดให้ลงฝีพายพร้อมๆกัน สามารถบรรลุถึงจุดหมายของกิจกรรมชักพระร่วมกันได้ ก็นิยมว่าเป็นสิ่งดี เป็นวัตกรรมแห่งสมัยที่ควรจดจำไว้ปฏิบัติอีกในคราวต่อๆไป จนกระทั่งพัฒนาเป็นเพลงเรือแหลมโพธิ์ในที่สุด
ในชั้นแรก เพลงเรือแหลมโพธิ์คงจะเป็นเพลงกลอนด้นหรือกลอนปฏิภาณที่มีความยาวไม่มากนัก อาจจะ ๒-๓ กลอน หรือมากกว่านั้นเล็กน้อย ว่าร้องรับวนเวียนต่อกันไปตลอดทางทั้งขาไปและขากลับ เมื่อคิดขึ้นได้ใหม่ก็ค่อยเพิ่มกลอนมากขึ้น ทั้งนี้เพราะเพลงเรือแหลมโพธิ์มิได้เคร่งครัดในรูปแบบมากนัก เพลงที่กลอนขาดไปก็ยังสามารถใช้เล่นได้ ต่อมาจึงได้เตรียมตัวล่วงหน้าจากความงามของเรือพระที่ได้สร้างขึ้นในปีนั้น จากประวัติความเป็นมาของการชักพระ จากคนสวยในหมู่บ้าน จากเหตุการณ์ที่ซุบซิบติดอันดับรอบปี เหล่านี้ทำให้เกิดเป็นเพลงกลอนผูกขึ้น เพลงเหล่านี้มักกลอนดี ความหมายดี มีความยาวมาก บางเพลง เช่น เพลงชมนมพระ ของนาย พัน โสภิกุล ซึ่งเป็นเพลงเก่าเพลงหนึ่งมีความยาวถึง ๙๑ กลอน ทั้งนี้โดยนับจากจำนวนกลอนที่มีอยู่ตามที่ได้บันทึกไว้ เมื่อได้ศึกษารูปแบบและเรื่องราวแล้วเชื่อว่าเพลงนี้แต่เดิมยังจะต้องมีความยาวมากกว่านี้แน่นอน

พื้นที่เล่นเพลงเรือแหลมโพธิ์
ยังไม่ปรากฏแน่ชัดว่าเรือกระบวนชักพระทุกลำหรือทุกกระบวนจะต้องมีการเล่นเพลงเรือมาด้วย ภิญโญ จิตต์ธรรม กล่าวถึงประเพณีชักพระทั่วๆไปและได้กล่าวถึงการเล่นเพลงเรือไว้แต่ไม่ชัดเจนว่า “ในคืนวันขึ้น ๑๔-๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ พวกเรือพายหรือเรือเพรียวเหล่านี้ก็จะออกซ้อมพาย ซ้อมความเร็ว เมื่อเหนื่อยมากแล้วบางทีก็จะพายช้าๆ พร้อมทั้งร้องเพลงเรือไปด้วย” ซึ่งนั้นก็หมายความว่าในการชักพระทางน้ำจะมีการร้องเพลงเรือเล่นด้วย แต่ก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นที่ใด อันนี้ก็ตรงกับที่นายเฮด แก้วกุลนิล อายุ ๖๐ ปี (พ.ศ.๒๕๒๘) ได้เล่าให้ฟังว่า “เมื่อก่อนพอขึ้น ๗-๘ ค่ำ เรือแข่งจากบางทิง บางหยี โคกขี้เหล็ก มาซ้อมแข่งที่คูเต่าทั้งนั้น ทั้งเพลงเรือเพลงบอก ยิ่งคืน ๑๕ ค่ำ คนเหมือนใบไม้”
ตามที่ได้ศึกษาข้อมูลพบว่าชุมชนของ ๓ อำเภอบริเวณริมทะเลสาบสงขลา คืออำเภอเมือง อำเภอหาดใหญ่ และอำเภอรัตภูมิ มีการเล่นเพลงเรือแหลมโพธิ์กัน โดยเฉพาะตำบลคูเต่า ตำบลแม่ทอม ตำบลบางกล่ำ อำเภอหาดใหญ่พบว่าเล่นเพลงเรือแหลมโพธิ์กันมากที่สุด ในจำนวนเพลงที่ใช้เป็นข้อมูล ๕๕ เพลง เป็นเพลงที่ได้จากแม่เพลงหรือนักแต่งเพลงที่อยู่ในพื้นที่นั้นถึง ๓๙ เพลง นอกนั้นได้จากอำเภอเมือง ๑ เพลง อำเภอรัตภูมิ ๕ เพลง ไม่ปรากฏพื้นที่ ๑๐ เพลง
อย่างไรก็ตาม จากการสอบปากคำผู้สูงอายุพอสรุปได้ว่า ชุมชนที่ชักพระมายังแหลมโพธิ์เท่าที่เคยมีมาคือ
เขตอำเภอหาดใหญ่ ได้แก่ บางโหนด หัวควาย ท่าแซ คลองแห บ้านหาร บางนก บางกล่ำ คูเต่า แม่ทอม ท่านางหอม ท่าเมรุ บางทิง บางหยี โคกขี้เหล็ก
เขตอำเภอรัตภูมิ ได้แก่ ควนโส ปากรอ ปากจ่า บางเหรียง ปากบางภูมี
เขตอำเภอเมือง ได้แก่ ทำนบ สทิงหม้อ เกาะยอ

ธรรมเนียมนิยมในการเล่นเพลงเรือแหลมโพธิ์
ธรรมเนียมนิยมของการเล่นเพลงเรือแหลมโพธิ์น่าสนใจไม่แพ้เพลงพื้นบ้านอื่นๆ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเสมือนภาพสะท้อนความเป็นพื้นบ้านในแง่มุมต่างๆ ที่เรายังไม่เคยสัมผัสหรือสัมผัสแล้วแต่ยังไม่ถึงแก่นแท้ของมัน ธรรมเนียมนิยมของการเล่นเพลงเรือแหลมโพธิ์แยกกันกล่าวให้ชัดเจนเป็น ๕ ประการดังนี้
๑. วันเล่น เพลงเรือแหลมโพธิ์จะเล่นกันจริงๆ ก็เฉพาะในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ อันเป็นวันชักพระเพียงวันเดียวเท่านั้น หมดวันก็สิ้นสุดการเล่นในรอบปี ส่วนก่อนหน้าวันชักพระจะมีการซ้อมเล่นกันทั่วไป ตั้งแต่วันเดือน ๑๑ เริ่มแล้ว และค่อยๆมากขึ้น จนกระทั่งมากที่สุดในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ อันเป็นวันออกพรรษา
๒. สถานที่เล่น การเล่นเพลงเรือแหลมโพธิ์นั้นมีจุดที่นัดพบกันจุดสำคัญคือแหลมโพธิ์ อันเป็นจุดหมายปลายทางที่เรือพระทุกลำมาหยุดพักเพื่อถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์ที่มากับเรือพระแล้วประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ที่แหลมโพธิ์จึงเป็นสถานที่ที่เพลงเรือทุกลำและจากทุกแห่งในวันนั้นจะต้องขึ้นไปพบกันร้องเล่นเพลงเรือจนกระทั่งเสร็จพิธีพระ อัญเชิญเสด็จพระกลับวัด เรือพระบางวัดอาจไม่กลับวัดเลยทีเดียวก็จะพากันไปต่อที่หาดหอยซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งปากคลองอู่ตะเภา ทางทิศตะวันตกของแหลมโพธิ์ไม่ไกลกันนัก ที่หาดหอยจึงเป็นสถานที่เล่นเพลงเรืออีกแห่งหนึ่งที่รองลงไปจากแหลมโพธิ์ ที่ว่ารองลงไปก็เพราะหาดหอยไม่ใช่สถานที่เรือพระจะต้องนัดกันไปพบกันทุกลำเหมือนอย่างที่แหลมโพธิ์นั่นเอง แต่กล่าวกันว่านอกจากที่แหลมโพธิ์แล้ว ที่หาดหอยนี่แหละเล่นเพลงเรือแหลมโพธิ์สนุกนัก
๓. รูปแบบกลอนเพลงเรือแหลมโพธิ์ เพลงเรือแหลมโพธิ์เป็นกลอน ๔ เหมือนกลอน ๔ โนราหรือกลอน ๔ หนังตะลุง ต่างกันบ้างตรงสัมผัสส่งสัมผัสรับเท่านั้น อย่างไรก็ตามหากจะเอากลอนเพลงเรือแหลมโพธิ์มาขับโนราหรือขับหนังตะลุงก็ย่อมทำได้ และทำนองเดียวกัน หากจะเอากลอน ๔ โนราหรือกลอน ๔ หนังตะลุงมาร้องเป็นเพลงเรือก็ย่อมทำได้อย่างแนบเนียนเช่นกัน
๔. ผู้เล่น ผู้เล่นเพลงเรือแหลมโพธิ์คณะหนึ่งๆ อาจเล่นได้ตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป โดยแบ่งเป็น ๒ ฝ่าย คือ แม่เพลงกับลูกคู่
๔.๑. แม่เพลง คือผู้บอกกลอนมีหน้าที่ร้องกลอนนำให้ลูกคู่ร้องรับตาม แต่ก่อนนี้เคยใช้คำว่า “หัวเพลง” ปัจจุบันไม่ค่อยพบใช้ แม่เพลงส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ทั้งนี้เพราะผู้หญิงมีความละอายมากกว่าผู้ชายโดยธรรมชาติและโดยประเพณีที่ไม่ส่งเสริมให้ผู้หญิงแสดงออกในที่สาธารณะแบบนั้น หรืออีกประการหนึ่ง ผู้ชายได้มีโอกาสบวชเรียน ได้รู้ขนบประเพณี ภาษามากกว่าผู้หญิงก็ได้
๔.๒. ลูกคู่ คือผู้ร้องรับตามแม่เพลง คอยขัดจังหวะ คอยกระทุ้งกระแทกเสียงให้เพลงได้จังหวะพอเหมาะ ทำให้เกิดอารมณ์ร่วมกันทั้งแม่เพลง ลูกคู่และผู้ฟังอื่นๆ การที่ลูกคู่คอยทำให้เกิดอารมณ์ร่วมกันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้แม่เพลงบอกกลอนได้ลื่นไหลดี
๕. วิธีเล่น ธรรมเนียมนิยมที่เกี่ยวกับวิธีเล่นเพลงเรือแหลมโพธิ์นี้มีหลายประการ ด้วยกันคือ
๕.๑. เพลงเรือแหลมโพธิ์ไม่เป็นเพลงปฏิพากย์ ไม่มีการเล่นโต้ตอบกันระหว่างคณะ นายดำ มณีภาค อายุ ๙๐ ปี (พ.ศ.๒๕๒๗) อดีตพ่อเพลงคนหนึ่งเล่าถึงเรื่องการเล่นเพลงเรือแหลมโพธิ์ให้ฟังสรุปได้ว่า “การเล่นเพลงเรือแหลมโพธิ์ไม่เจาะจงถึงใครคนหนึ่งคนใดโดยเฉพาะว่ากราดไปทั่วๆ จึงไม่มีการโต้ตอบลักษณะปากต่อปาก คำต่อคำ อย่างเรือพระลำหนึ่ง มีเรือยาวชักลากไป ๔-๕ ลำ เรือทั้ง ๔-๕ ลำ ต่างก็ว่าเพลงของตัวเองไป เพลงลำใครก็ลำนั้น แต่ก็สนุก เมื่อพบลำอื่นก็จะว่าแข่งเสียงกันไป ไม่โต้กัน”
๕.๒. เพลงเรือแหลมโพธิ์ที่เล่นในเรือ ซึ่งก็เป็นเรือยาวชักเรือพระนั่นเอง เรือยาวลำใหญ่ๆ จุฝีพายได้ถึง ๒๕ คน แต่ที่ไม่เป็นเรือยาวซึ่งมีฝีพายแค่ ๔-๕ คนก็มี การเล่นในเรือนี้เริ่มต้นตั้งแต่เริ่มชักลากเรือพระออกจากหน้าวัด จนถึงแหลมโพธิ์ เรือพระวัดใดอยู่ใกล้แหลมโพธิ์ก็มีเวลาอยู่ในเรือน้อยกว่าเรือพระที่วัดอยู่ไกล แล้วจะมีช่วงเวลาที่การเล่นเพลงจะขึ้นไปเล่นบนบกด้วย นั่นคือเมื่อชักพระมาถึงแหลมโพธิ์แล้ว ช่วงเวลาที่จะเสร็จถวายเพลพระและพิธีทางศาสนา เป็นช่วงที่เพลงเรือทุกคณะจะขึ้นมาเล่นสนุกกันบนแหลมโพธิ์ เป็นช่วงการเล่นเพลงที่สนุกไปอีกแบบหนึ่ง ไม่แพ้การเล่นในเรือ
๕.๓. ไม่มีเครื่องดนตรีใดๆ ประกอบการเล่นเพลงเรือแหลมโพธิ์ ไม่มีฉิ่ง กรับ หรือเครื่องให้จังหวะ ไม่มีแม้แต่เสียงปรบมือ มีก็แต่เสียงพายที่จ้ำลงในน้ำพร้อมๆ กันเท่านั้น เพลงที่เล่าถึงประวัติ เพลงชมความงาม การพายก็มักจะพายจังหวะช้าๆ เพลงเสียดสีสังคม เพลงสนุกตลกขบขัน ก็จะลงจังหวะพายเร็วๆ ทำให้เกิดความสนุกสนานคึกคัก
๕.๔. การเริ่มเล่นเพลงเรือแหลมโพธิ์ไม่ต้องไหว้ครู จะเริ่มต้นเพลงตรงไหนอย่างไรก็ได้ ในการเริ่มต้นเล่นเพลงเรือแหลมโพธิ์ มีธรรมเนียมนิยมอย่างหนึ่งคือ การขึ้นต้นกลอนแรกของเพลงต้องขึ้นต้นด้วยคำว่า “ขึ้นข้อ....” ในความว่า “ขึ้นข้อต่อกล่าว” ซึ่งพบมากที่สุด เช่น
ขึ้นข้อต่อกล่าวเรื่องราวลากพระ (เพลงกล่อมเรือลากพระ)
ขึ้นข้อต่อกล่าวเรื่องสาวสมัย (เพลงสาวสมัย)
ขึ้นข้อต่อกล่าวเรื่องเท้าแก้แลน (เพลงเท้าแก้แลน)
ฯลฯ

คุณค่าที่สะท้อนชีวิตทางสังคมและวัฒนธรรม
เพลงเรือแหลมโพธิ์ เป็นการละเล่นพื้นบ้านที่สำคัญอย่างหนึ่งของจังหวัดสงขลา เพลงเรือแหลมโพธิ์เป็นเพลงพื้นบ้าน มีบทร้องเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ซึ่งสะท้อนชีวิตทางสังคมและวัฒนธรรมของชาวบ้านไว้มากมาย โดยปรากฏให้เห็นเด่นชัดในบทร้องต่างๆ ว่าสังคมย่อมอยู่คู่วัฒนธรรมเสมอ ขณะเดียวกันสังคมจะเกิดขึ้นเองอย่างลอยๆ โดยปราศจากสังคมย่อมไม่ได้เช่นเดียวกัน


จากการศึกษาบทร้องเพลงเรือแหลมโพธิ์ ได้สะท้อนชีวิตทางสังคมและวัฒนธรรมได้ดังนี้
๑. ประเพณี เนื่องจากเพลงเรือแหลมโพธิ์เป็นเพลงที่ชาวบ้านใช้เล่นกันในวันชักพระโดยตรง ดังนั้นเนื้อหาของเพลงเกือบทั้งหมด จะกล่าวถึงประเพณีชักพระเพียงประเพณีเดียว ชาวบ้านในพื้นที่ที่มีการเล่นเพลงเรือแหลมโพธิ์มีความผูกพันและมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประเพณีชักพระเป็นอย่างดี ในเพลงได้สะท้อนรายละเอียดถึงขนบนิยม ความเชื่อ และสารัตถะด้านต่างๆ เกี่ยวกับประเพณีชักพระไว้อย่างเป็นรูปธรรม
เพลงอนุรักษ์ของเก่า
เดือนสิบเอ็ดแรมต่ำหนึ่งหมันถึงมาแล้ว เรือพระตั้งแถวล้วนมาชุมนุม
ชาวพุทธสุดหวงทำพวงต้มแขวน จำกันได้แม่นวันออกพรรษา
เอานมพระมาสมโภชเพื่อโฆษณา ให้ชาวประชามานมัสการ
ได้มาชมศิลป์ต่างถิ่นมาประกวด ดูช่างสวยสดงดงามต่างกัน
นมเล็กนมใหญ่ดูไสวเฉิดฉัน รูปทรงองค์อันดูต่างกันเพริดพริ้ง
พระน้ำดูไปตามชายหลิง พระบกเพริศพริ้งบนหลิงแว็บวับ
ผมว่ามานานเดี๋ยวรำคาญกันหนัก ให้ทุกคนประจักษ์อนุรักษ์ของเก่า
ตัวอย่างเพลงดังกล่าว กล่าวถึงประเพณีชักพระ ซึ่งตรงกับวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ขบวนเรือพระมาตั้งแถว มีกานำต้มแขวนตามประเพณี มีการสมโภชชนมพระและมีการประกวดเรือพระบกและพระน้ำ
๒. การเมืองการปกครอง ในบทร้องเพลงเรือแหลมโพธิ์มีเนื้อหาที่สะท้อนถึงการเมืองการปกครอง คือ ด้านกฎหมาย เห็นถึงความสำคัญของกฎหมายใหม่ในแง่เป็นเครื่องมือในการสร้างความสนุกสนาน ด้านพัฒนาบ้านเมือง ชี้ให้เห็นถึงการสนับสนุนการพัฒนาบ้านเมืองของรัฐบาล ด้านสิทธิสตรี สะท้อนบทบาทและสิทธิของสตรีในการพัฒนา และด้านการเลือกตั้ง สะท้อนความสนใจเกี่ยวกับการเมืองการปกครองของชาวบ้าน ดังเช่น
เพลงยาวสากล
เรียนท่านทั้งหลายเจ้านายทั้งหมด ท่านผู้มียศปรากฏเสียนัก
เป็นที่พึงพักหลักประชาชน เฉพาะตำบลทางคนสัญจร
เห็นนานแสนนานทางผ่านไปมา หาดใหญ่ของข้าเห็นช้างไปชัง
คงจะล้าหลังฉันหวังพึ่งบุญ ถึงฤดูแล้วมีแต่อองฝุ่น
ท่านน่าการุณอองฝุ่นหมดไป ตอแรกปีไหนหมดไปสักที
ท่านพัฒนาฉันชมว่าดี ถนนมากมีเป็นที่สัญจร
ไม่ได้เดือดร้อนในดอนไปมา พ่อค้าแม่ขามากมายหนักหนา
หลับหูหลับตาฝ่าฝ่นอองดน นักเรียนเปื้อนสิ้นจากถิ่นมาไกล
เพลงเรือบทนี้มีเนื้อหาสะทอนถึงการเรียกร้องให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง หันมาช่วยกันพัฒนาท้องถิ่นในเรื่องถนนหนทางในพื้นที่บ้านแหลมโพธิ์ เพราะถนนมีฝุ่นมาก การสัญจรไปมาไม่สะดวก ทั้งพ่อค้าแม่ค่าและนักเรียนได้รับความเดือดร้อนในการสัญจรไปมา
๓. ด้านเศรษฐกิจ เพลงเรือแหลมโพธิ์จำนวนมากได้สะท้อนเนื้อหาเกี่ยวกับด้านเศรษฐกิจของชาวบ้าน ตัวอย่างเพลง
เพลงของแพง
ขึ้นข้อต่อกล่าวเรื่องราวทั่วไป ตั้งรัฐบาลใหม่ทำไมของแพง
ทุกหนทุกแห่งแจ้งตามราคา พวกพ่อค้าเศรษฐีไปข้างหน้า
พวกเราชาวนาเวทนาเกินไป รัฐบาลคนเก่าเขาเอาใจใส่
ถนนหนทางที่ค้างเมื่อใด จัดทำให้ใหม่สัญจรไปมา
เพลงนี้ให้เห็นว่าชาวบ้านต้อขายที่ดิน เพราที่ดินมีราคาแพงและจะเลิกทำนา เพราะรายได้ต่ำ ราคาของสูงขึ้นเรื่อยๆ ชาวนายากลำบาก ขณะที่พ่อค้ารวยมากขึ้น เมื่อนักลงทุนมากว้านซื้อที่ดิน พวกชาวนาจึงคิดจะขาย ด้วยหวังว่าเศรษฐกิจของตัวเองจะดีขึ้นบ้าง
๔. ด้านศาสนา เพลงเรือแหลมโพธิ์ได้กล่าวถึงเรื่องราวของศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพุทธเป็นจำนวนไม่น้อย เห็นถึงรูปการจิตสำนึกทางสังคม ว่ามีความผูกพัน และความเชื่อในศาสนาหลายประเด็น ยกตัวอย่างเพลงเรือแหลมโพธิ์ว่า
เพลงชักพระเกี้ยวสาว
มือข้าทั้งสองยกประคองขึ้นตั้ง ยกขึ้นเหนือเศียรรั้งตั้งความวันทา
ไหว้พระพุทธพระธรรมได้จำกายา ทุกค่ำเวลาวันทาชุลี
พอถึงวันดีที่จะออกพรรษา จัดแจงนาวาพร้อมเพรียงเรียงราย
ทั้งหญิงทั้งชายจัดไว้พร้อมเสร็จ ถึงวันเสด็จเสร็จแล้วจึงไป
ถึงคืนวันเพ็งเต็มเต่งพระทัย จัดแจงเป็ดไก่คดห่อไปกิน
พอถึงไก่ขันสนั่นเสียสิ้น ดับแดงเครื่องกินหมดสิ้นทุกสิ่ง
พอรุ่งหัวเช้าคดข้าวชนะ ฉันไม่ลดละหยิบมาใส่ขั้น
ส่วนข้าวกินนั้นปั้นไว้คนแห่ง ทั้งข้าวทั้งแกงแต่งไว้พร้อมเสร็จ
ถึงวันเสด็จเสร็จแล้วจึงไป พระสุริยาชักรถขึ้นมาไรไร
เนื้อหาเพลงดังกล่าวพูดถึงประเพณีชาวบ้านในวันออกพรรษา ซึ่งเป็นวันที่พระพุทธองค์เสด็จกลับจากการโปรดพระพุทธมารดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น ชาวบ้านจะจัดเตรียมสิ่งของเพื่อไปทำบุญที่วัดกันอย่างพร้อมเพรียง
๕. ด้านภาษาถิ่น ภาษาถิ่นใต้ เป็นภาษาที่ใช้สื่อสารกันในภาคใต้ทั่วไป มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ในการเล่นเพลงเรือแหลมโพธิ์ จะใช้ภาษาถิ่นใต้เป็นหลัก อีกทั้งเพลงเรือแหลมโพธิ์เกือบทั้งสิ้นมีภาษาท้องถิ่นใต้แฝงอยู่ ดังเช่น
เพลงพรหมสามหน้า
ยกข้อเทพนมไอ้นี่พรหมสามหน้า ถูกสาปอินทรามาเป็นก้อนเส้า
ยกมือประณมนั่นพรหมท่านท้าว เชิงกรานก้อนเส้าบ่าวสาวเรียกเตา
ตั้งทะให้คนดูไก้คู้หัวเข่า แยงฟืนเข้าในเตาไฟเราต้องลุก
ไม่กี่นาทีไก้นี้ต้องสุก แยงไฟให้ลุกจุกหว่างก้อนเส้า
จะเห็นว่าเพลงบทนี้มีคำว่า ก้อนเส้า หมายถึง ก้อนหินที่นำมาตั้งเป็นเตา มีลักษณะเชิงกราน คือ เตาไฟที่เคลื่อนที่ได้ สำหรับใช้ประกอบอาหาร ต้องใส่ไม้ฟืน คำว่า “แยงฟืนเข้าในเตาไฟ” หมายถึงวา ต้องใส่ไม้ฟืนเข้าไปในเตา และตั้งกระทะบนเตา ภาษาท้องถิ่นใต้ใช้คำว่า “ทะ” แทน กระทะ
๖. ด้านอนามัย ได้สะท้อนเนื้อหาทางด้านอนามัย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านโรคเอดส์ ซึ่งในปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคเอดส์และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นโรคร้ายซึ่งเป็นภัยใหญ่หลวงต่อสังคม ด้วย และปัญหาเกี่ยวกับอนามัยด้านอื่นๆ ดัง เช่น ในปัจจุบันมีการรณรงค์เกี่ยวกับการคุมกำเนิดเพราะมีลูกมากจะยากจน อีกทั้งยังมีโรคเกิดขึ้นอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเกิดขึ้นโดยการติดต่อหรือเกิดขึ้นจากการดื่มกินสารพิษ สารเคมีเข้าไปโดยไม่รู้ตัว เพลงเรือแหลมโพธิ์ จึงได้มีการแต่งเนื้อเพลงขึ้นเพื่อเตือนภัยในเรื่องดังกล่าว จะยกตัวอย่างเพลงเรือที่กล่าวถึง
เพลงกรัมม็อกโซน
ปีนี้ภาคใต้คนตายกันแย่ หมอจบปริญญาหมดท่าจะแก้
น้ำตาลคลองแหแช่กรัมม็อกโซน พิษสารเคมีรุ่นนี้โลดโผน
ฤทธิ์กรัมม็อกโซนโดนเอาหลายราย แพทย์ในมอ.ออ.นึกท้อใจหาย
เมื่อตอนวันบ่ายคนไข้ได้มา ผู้ป่วยทั้งหลายเข้าได้มาหา
เพลงนี้เนื้อหาเตือนภัยให้ระวังสารพิษจาก “กรัมม็อกโซน” คือ ยาฆ่าหญ้าคา ซึ่งชาวบ้านที่ทำน้ำตาลเมาขายผสมลงไปในน้ำตาลเมา แม้นายแพทย์ในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ก็หมดทางแก้ไข เยียวยารักษา เพราะคนไข้เจอสารเคมีชนิดอย่างรุนแรง
๗. ด้านความเชื่อ ในบทร้องเพลงเรือแหลมโพธิ์ ได้สะท้อนความเชื่อหลายด้านไม่ว่าจะเป็น ความเชื่อทางไสยศาสตร์ เป็นความเชื่อที่ยอมรับและยึดมั่นถือมั่นในสิ่งหนึ่งสิ่งใด บางครั้งยึดมั่นในสิ่งที่เหนือธรรมชาติ มีการปฏิบัติกันอย่างกว้างขวางเป็นที่ยอมรับในสังคม และได้มีการสั่งสม สืบสานสู่ลูกหลาน ความเชื่อด้านเคราะห์กรรม ความเชื่อนี้มุ่งสอนให้คนทำดี ว่าสิ่งใดที่กระทำในชาตินี้ จะตอบสนองในชาติหน้า ความเชื่อการบนบานศาลกล่าว เป็นความเชื่อที่ทำให้เกิดขวัญและกำลังใจ ในการกระทำการอ่างใดอย่างหนึ่ง และความเชื่อด้านศาสนา เพราะศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ทำให้คนนับถือมีความรู้สึกว่ามีที่พึ่งทางจิตใจ มีใจเข้มแข็ง จะช่วยให้สำเร็จในสิ่งที่ปรารถนา หรือประสบสิ่งที่ดีงาม
เพลงผิดศีลข้อห้า
ปีนี้ตัวข้าเทวาท่านสาป ศีลข้อห้ากล่าวกินเหล้าหมันบาป
เทวาท่านสาปเพราะบาปปางก่อน กินกรัมม็อกโซนเพราะโดนถูกหลอน
เนื้อหาสะท้อนความเชื่อ โดยให้มีการถือศีลห้าให้ได้ ศีลข้อห้ากล่าวว่าห้ามดื่มสุราและของมึนเมา ใครกินเข้าไปจะเป็นบาปและจะถูกลงโทษ
๘. ด้านค่านิยม ก็คือ วัฒนธรรมที่แสดงออก ในเพลงเรือแหลมโพธิ์ ได้กล่าวถึงเรื่องค่านิยมต่างๆ คือ การแต่งกาย ความแตกต่างของการแต่งกาย การใส่ฟันทอง เพราะในอดีตชาวภาคใต้นิยมการใส่ฟันทอง เพื่อให้เห็นถึงความสวยงามและมีเสน่ห์ ค่านิยมทรงผม
เพลงสาวสมัย
ขึ้นข้อต่อกล่าวเรื่องสาวสมัย แต่งตัววิไลสวมใส่ฟันทอง
ใส่ข้างละซี่ตรงกลางมีร่อง ใส่ไว้เป็นช่องสองข้างหน้าฟัน
โอ้แม่พุ่มพวงแต่งตัวอวดกัน หมุนเปลี่ยนทุกวันให้ทันสมัย
หน้าฟันกัลยาลงกาจับหลัก ชายใดเห็นทักหลงรักไม่หาย
เนื้อหาของเพลงกล่าวถึง ผู้หญิงนิยมสวมใส่ฟันทองกันมาก ถือเป็นค่านิยม อาจจะเป็นการบ่งบอกถึงฐานะทางเศรษฐกิจดี บางคนจะนิยมใส่ตรงร่องฟัน บางคนก็ใส่ตรงน้าฟันเต็มๆ
๙. ด้านจริยธรรม เพลงเรือแหลมโพธิ์มักจะเน้นสอนสตรีโดยตรง โดยมุ่งเน้นให้อยู่ในแนวประพฤติปฏิบัติที่ดี ให้คนมีคุณธรรมในจิตใจ จริยธรรมจึงจะเกิดตามมา ซึ่งจะส่งผลที่ดีต่อตัวเองและสังคม ดังเพลงลึกพระ
เพลงลึกพระ
รวยรวยรินรินหอมกลิ่นหัวหมอน ร้อยชั่งบังอรไปวอนพระให้ลึก
นึกมาน่าหัวอีหญิงชาติชั่วไม่กลัวตกนรก นัดแนะกันไว้แรกพี่ชายเป็นสก
ไม่กลัวตกนรกอีหญิงรากา นักแนะกันไว้ให้ชายบวชสักษา
พอสึกออกมาหันหน้าไปไกล ของเสียของหายชาได้มาใส่
เพลงสะท้อนทางด้านความไร้จริยธรรมของผู้หญิงที่ชอบใกล้ชิดพระสงฆ์ ชอบไปยั่วยวนให้พระลึก ซึ่งถือว่าเป็นการผิดศีลธรรม
๑๐. ด้านนันทนาการ ไม่ว่าจะด้านกีฬา ซึ่งในเพลงเรือแหลมโพธิ์ได้กล่าวถึงการเล่นว่าว เป็นการพักผ่อนหย่อนใจอีกวิธีหนึ่ง ด้านการบันเทิง เพราะเพลงเรือแหลมโพธิ์มุ่งเน้นความสนุกสนานเป็นหลัก ทำให้บางครั้งผู้เล่นเพลงจึงมีเจตนาใช้คำสองแง่สามง่าม ตามลักษณะทั่วไปของเพลงพื้นบ้านทั่วไป บางครั้งเข้าทำนองลามก แต่ก็เพื่อความสนุกสนานเป็นหลัก อีกเพลงจำนวนหนึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงการละเล่นบางอย่างของชาวใต้อีกด้วย
เพลงชักว่าว
พอเสร็จเก็บข้าวชักว่าวกันจัง ลมพัดวาวาวชักว่าวกันมั่ง
ชักแล่นป่าซังหอจังพ่อถี ผมอยู่จนเฒ่าชักว่าวทุกปี
พอลมพดรี่ผมนี้ชักจริง พอลมพัดเพรียวนึกเสียวเส้นเอ็น
ชักว่าวหวันเย็นเส้นเอ็นหมันตึง เฝ้าชักเฝ้าดึงตึงเอ็นลิ้นปี่
ขึ้นติดลมบนมือฝนพอดี เลิกชักเถิดพี่ตอนนี้ถึงคราว
กล่าวว่า แม้โดยเจตนาจะมีความหมายเชิงสองแง่สองง่าม ในเชิงหยาบโลนที่ใช้เล่นว่าว มาเปรียบการสำเร็จความใคร่ของผู้ชาย แต่ก็สะทอนชัดว่าการเล่นว่าวเป็นกีฬาพื้นบ้านอย่างหนึ่งที่นิยมเล่นในท้องถิ่น เพราะเป็นการเล่นเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ และราคาถูกเหมาะกับชาวบ้าน
๑๑. ด้านศิลปกรรม เพลงเรือแหลมโพธิ์ได้สะท้อนถึงทางด้านนี้ ทั้งในเรื่องการตกแต่งเรือพระ การวาดลวดลาย การปั้น แกะสลัก หล่อพระ
เพลงชมนมพระ
วาดรูปราหูอยู่ที่หุ้มกลอง เป็นหนกเป็นร่องเป็นช่องเป็นชั้น
ไว้ยอดสูงเยี่ยมเทียมกับกังหัน เป็นช่อเป็นชั้นเป็นหวั้นเป็นราว
ฝูงชนไม่ละชักกะพระโห่ฉาว หนุ่มหนุ่มบ่าวบ่าวสาวสาวแก่แก่
ศึกศึกซึกซึ้งอื้ออึงเซ็งแซ่ บ้างโห่บ้างแห่แลมาเป็นย่าน
เนื้อหาสะท้อนภาพลักษณะจิตรกรรมของชาวบ้านในท้องถิ่นในการตกแต่งเรือพระ ว่ามีการเขียนภาพเป็นราหูที่หุ้มกลอง โดยมีลวดลายเป็นกนก เป็นร่องเป็นชั้นต่างระดับกันไป
๑๒. ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพลงเรือแหลมโพธิ์สะท้อนด้านการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีไม่น้อย เช่น การลากพระก็นิยมทางบกใช้รถยนต์ลากกันมากขึ้น เพราะสะดวกกว่า
เพลงกลุ่มแม่บ้านชักพระ
ชักพระออกจากวัดนมัสการ ฝูงชนแม่บ้านทำงานร่วมกัน
วันออกพรรษาสนุกสุขสันต์ ไชโยโห่ลั่นพร้อมกันทั้งหมด
แต่ก่อนลากเรือเดี๋ยวนี้ลากรถ มาเปลี่ยนปรากฏลากรถจากวัด
ลำดับถัดถัดจัดกันเรียงราย ให้กลุ่มแม่บ้านสมจิตคิดหมาย
เห็นถึงวิวัฒนาการของการชักพระว่า แต่เดิมนิยมชักลากพระโดยใช้คนลาก แต่ปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย โดยใช้รถยนต์ชักลากแทนคน ทำให้ประเพณีดั้งเดิมหลายส่วนสูญหายไป เพราะความเปลี่ยนแปลงไปของเทคโนโลยีนั่นเอง
๑๓. ด้านอื่นๆ ได้แก่ สภาพภูมิศาสตร์และสภาพทั่วไปของท้องถิ่น มลภาวะและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
เพลงสิ่งแวดล้อม
ขึ้นข้อต่อกล่าวเรื่องสิ่งแวดล้อม ช่วยกันถนอมพร้อมใจรักษา
ทะเลหาดทรายต้นไม้สัตว์ป่า ภูเขาท้องฟ้าต้นน้ำลำธาร
แนะนำพวกพ้องพี่น้องลูกหลาน รักษาไว้ได้การลูกหลานสบาย
สิ่งแวดล้อมเป็นพิษชีวิตวอดวาย ใครคิดทำลายเราอย่าได้ยอม
เพลงเรือดังกล่าวเนื้อหาสะท้อนถึงภาพและสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เน้นเรื่องราวสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ให้ทุกคนตระหนักถึงสิ่งแวดล้อม ควรหาทางป้องกัน และร่วมมือกันแก้ไขเพื่อรักษาสภาพดังกล่าวให้ดีสืบไป
เพลงเรือแหลมโพธิ์ แม้จะเป็นเพลงที่นำมาเล่นกันในท้องถิ่นที่ไม่กว้างขวางมากนัก แต่จะพบว่าเพลงเรือแหลมโพธิ์ทุกยุคทุกสมัยมีสาระแฝงอยู่ในความสนุกสนานมากมาย ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น

การถ่ายทอดองค์ความรู้ของเพลงเรือแหลมโพธิ์
เพลงเรือแหลมโพธิ์ เป็นเพลงพื้นบ้านภาคใต้ ซึ่งชาวบ้านนิยมเล่นในงานประเพณีชักพระ ซึ่ง ๑ ปีมีแค่ครั้งเดียวก็ว่าได้ กระบวนการถ่ายทอดความรู้เพื่อไม่ให้สูญหาย ชาวบ้านอาศัย แบบครูพักลักจำ ใช้ความสามารถทางเชิงกลอนบ้าง ความรักในทางนี้ แล้วทำการฝึกฝน และออกงานประจำทุกปี จนบางคนจากการเป็นลูกคู่ เลื่อนขั้นมาเป็นแม่เพลงบ้าง อาจจะไม่ได้แต่งเพลงก็ได้ มีการนำเอาเพลงเก่าๆ ที่นักแต่งเพลงได้แต่งมาจดจำแล้วนำมาร้องเล่นกันก็ได้
เพลงเรือแหลมโพธิ์ไม่ได้มุ้งเน้นเพียงแค่ความสนุกสานเพียงด้านเดียว แต่เพลงเรือแหลมโพธิ์ยังสอดแทรกเนื้อหาสาระที่สร้างสรรค์ ให้แง่คิดเพื่อชี้ชวนให้เกิดการพัฒนาภาษาที่ใช้ในบทเพลงบางครั้งใช้ภาษาถิ่นใต้ผสมกับภาษาราชการ วิธีถ่ายทอดบทร้องสู่ผู้ฟังนั้นจะถ่ายทอดโดยวิธีมุขปาฐะ โดยมุ้งเน้นประเด็นในเรื่องวิถีการดำเนินชีวิตของชาวบ้านในแง่มุมต่างๆ มาเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ โดยการนำเอาภูมิปัญญาชาวบ้านที่จากการสั่งสมประสบการณ์มาเป็นเวลาช้านานมาถ่ายทอดให้คนรุ่นใหม่ได้รับทราบประเด็นปัญหาจากบทกลอนที่ชาวบ้านแต่งขึ้น

การประยุกต์ใช้ในสังคมปัจจุบัน
เพลงเรือแหลมโพธิ์ ได้สะท้อนให้เห็นสภาพปัญหาทางสังคมที่เกิดขึ้นในท้องถิ่น ชาวบ้านจึงใช้เพลงเรือแหลมโพธิ์เป็นสื่อในการถ่ายทอดปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อให้ผู้ที่รับผิดชอบได้รับทราบปัญหาที่เกิดขึ้นภายในท้องถิ่น ถือได้ว่าเป็นแนวทางพื้นฐานในการทำความเข้าใจในสังคมแถบนี้ เพื่อนำไปพัฒนา แก้ปัญหาตรงจุด และมีประสิทธิภาพกับท้องถิ่น เพลงเรือแหลมโพธิ์จึงเป็นสื่อสำคัญที่เกิดขึ้นจากภูมิปัญญาชาวบ้านให้เกิดประโยชน์แก่ชุมชน ดังที่ว่า สื่อชาวบ้านเป็นเครื่องมือทางสังคม ที่เกิดจากภูมิปัญญาของชาวบ้านเองและเป็นตัวจักรสำคัญหนึ่งในการสร้างดุลยภาพให้ชุมชนพื้นบ้านภาคใต้ในอดีต มีลักษณะเป็นตัวของตัวเอง มีความภาคภูมิในเอกลักษณ์ของตน และเห็นถึงคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ของพวกตน

แนวทางอนุรักษ์และพัฒนาเพลงเรือแหลมโพธิ์
เพลงเรือแหลมโพธิ์ เป็นการละเล่นอย่างหนึ่งของประเพณีชักพระทางน้ำ ซึ่งประเพณีนี่จะเกิดขึ้นในทางภาคใต้ในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ของทุกปี ทำให้การเล่นเพลงเรือแหลมโพธิ์อยู่คู่กับประเพณีชักพระ เพลงเรือแหลมโพธิ์ จึงเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านอย่างแท้จริง ที่เกิดจากการสั่งสมกันมาเป็นเวลานาน ให้คุณค่าในด้านความสนุกสนาน เพลิดเพลิน และเป็นเครื่องมือทางสังคมด้วย เป็นสิ่งที่ถ่ายทอดให้ชนรุ่นหลังได้ตระหนักถึงคุณค่าความสำคัญของเพลงเรือแหลมโพธิ์ ควรจะมีการอนุรักษ์ พัฒนา และส่งเสริมให้เพลงเรือคงอยู่กับท้องถิ่นนี้ตลอดไป โดยการอนุรักษ์ พัฒนา และส่งเสริมอย่างถูกวิธี เพื่อให้มรดกทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่าแก่ท้องถิ่นอยู่ตลอดไป โดยมีวิธีการอนุรักษ์ พัฒนา และส่งเสริม ดังนี้
๑. ปลูกฝังจิตสำนึกให้กับเยาวชนได้ช่วยกันอนุรักษ์ เผยแพร่เพลงเรือแหลมโพธิ์ให้เป็นเพลงพื้นบ้านที่ยอมรับอย่างกว้างขวางต่อไป เช่น จัดโครงการแข่งขันร้องเพลงเรือแหลมโพธิ์ เป็นต้น
๒. ส่งเสริมให้สถานศึกษาในละแวกนั้นมีหลักสูตรเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น เพลงเรือแหลมโพธิ์ เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งในชุมชน
๓. ฟื้นฟูเพลงเรือแหลมโพธิ์ โดยต้องเอาเพลงเรือแหลมโพธิ์มาเชื่อมโยงให้ออกมาเป็นมิติของภูมินิเวศ หรือว่าภูมิการให้มองให้เห็นถึงว่าเป็นสากลให้ได้ เพราะจะทำให้มองเห็นสะท้อนภาพชีวิต สะท้อนภูมิปัญญา ผูกโยงให้เห็นเป็นภาพ เพื่อเป็นการยกระดับเพลงเรือแหลมโพธิ์ให้เป็น นิยมและแนวทางปฏิบัติในชุมชนนั้นและชุมชนอื่นอีกด้วย
๔. จัดชุมชนแหลมโพธิ์เป็นศูนย์กลางของเพลงเรือแหลมโพธิ์ ทั้งในด้านให้ความรู้ แนวทาง อย่างเช่น โรงเรียนชุมชน โดยที่ชาวบ้านจะเป็นผู้ให้ความรู้ หรือเป็นผู้เชี่ยวชาญเอง
เพลงเรือแหลมโพธิ์ เป็นภูมิปัญญาพื้นบ้าน และจัดเป็นมิติทางวัฒนธรรมที่มีบทบาทในการช่วยพัฒนาชุมชนมานานในอดีต ถึงแม้ว่าจะถูกละเลยไปบ้างในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา แต่ในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันว่าสังคมจะอยู่รอดได้อย่างยั่งยืนนั้น การอนุรักษ์รักษาภูมิปัญญาพื้นบ้านจะมีส่วนช่วยอย่างสำคัญ การนำภูมิปัญญาพื้นบ้านมาใช้ในการพัฒนาชุมชนพึ่งตนเอง จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการล่มสลายของครอบครัว ชุมชนโดยส่วนรวมในที่สุด และยังช่วยให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้




เอกสารอ้างอิง
สนิท บุญฤทธิ์, เพลงเรือแหลมโพธิ์ จังหวัดสงขลา, พิมพ์ครั้งที่ ๒, สงขลา : ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมวิทยาลัยครูสงขลา, ๒๕๓๒.
มณฑิรา ศิรินทร์นนท์, เพลงเรือแหลมโพธิ์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา, ปริญญาศิลปศาสตร มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศีนครินทรวิโรฒ ภาคใต้, ๒๕๓๘.
ณรงค์ เล็งประชา, พื้นฐานวัฒนธรรมไทย, พิมพ์ครั้งที่ ๒, กรุงเทพฯ : โอ.เอส.พริ้นติ้ง เฮ้าส์, ๒๕๓๒.
ปราณี วงศ์เทศ, พื้นบ้านพื้นเมือง, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์เจ้าพระยา, ๒๕๒๕.

ไม่มีความคิดเห็น: